ปัญญาประดิษฐ์

เทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.6

               AlphaGo สามารถชนะมนุษย์ที่เป็นแชมป์หมากล้อมโลก รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ผู้ช่วยอัจฉริยะ (Intelligent personal assistant) เช่น Siri, Cortana, Alexa, Google Assistant ที่สามารถรับคำสั่งและตอบคำถามด้วยเสียง จัดการตารางนัดหมาย บันทึกสิ่งที่ต้องทำ และตอบอีเมล สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในปัจจุบัน  และคาดการณ์ได้ว่า AI จะเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก เช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ

               ปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความฉลาดของเครื่องจักร (machine intelligence) ให้สามารถเรียนรู้ คิดเป็นเหตุเป็นผล และตัดสินใจได้คล้ายมนุษย์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานต่าง ๆ ที่ต้องใช้ทักษะของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น

               คำว่าปัญญาประดิษฐ์ ถูกตั้งขึ้นครั้งแรกโดยจอห์น แมคคาร์ธี (John McCarthy) ในปี พ.ศ.2499 และให้คำนิยามของปัญญาประดิษฐ์ดังนี้ “วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่สร้างความฉลาดให้กับเครื่องจักร””the science and engineering of making intelligent machines.”

ยุคเริ่มต้นของปัญญหาประดิษฐ์

สาขาปัญญาประดิษฐ์เริ่มก่อตั้งขึ้นในงานประชุมวิชาการที่วิทยาลัยดาร์ตมัธ (Dartmouth College) สหรัฐอเมริกา

ค.ศ.1950 TURING TEST

Turing Test การทดสอบความสามารถของเครื่องจักร โดย Alan Turing ว่ามีความสามารถในการคิดได้เช่นเดียวกับมนุษย์หรือไม่

Turing test - Wikipedia

ค.ศ.1961 UNIMATE

Unimate หุ่นยนต์อุตสาหกรรมตัวแรกที่ทำงานแทนมนุษย์ในสายการผลิต

วิวัฒนาการของหุ่นยนต์ | robodomoto

ค.ศ.1964 ELIZA

Eliza แชตบอตที่สามารถสนทนากับมนุษย์ได้

Eliza (elizabot.js)

ระบบฐานข้อมูล (Knowledge-based systems):

ปัญญาประดิษฐ์กลับมาอีกครั้งในรูหปแบบของ “ระบบผู้เชี่ยวชาญ” (expert systems) ที่เก็บความรู้ของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ไว้ในฐานความรู้ (knowledge base) เพื่อใช้แก้ปัญหาหรือให้คำแนะนำอย่างมีเหตุผล เช่น Mycin เป็นระบบช่วยวินิจฉัยโรคติดเชื้อ

ค.ศ.1975 MYCIN

Mycin เป็นระบบผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ในการวิเคราะห์หาสาเหตุของการติดเชื้อและแนะนำยารักษาโรค

ES ระบบผู้เชี่ยวชาญ - เว็บบอร์ด PHP เว็บส่งเสริมการเรียนรู้ Hosting CRM ERP  Server Programming ถาม-ตอบปัญหา

การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine learning)

เป็นการทำให้เครื่องจักรมีความสามารถในการเรียนรู้จากข้อมูลเช่นเดียวกับมนุษย์ เช่น โปรแกรมเล่นหมากรุกสามารถเรียนรู้และตัดสินใจการเดินหมากเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ด้วยตนเอง

ค.ศ.1998 KISMET

เป็นหุ่นยนต์ที่สามารถตรวจับและตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์

Kismet (robot) - Wikipedia

ค.ศ.1999 AIBO

หุ่นยนต์สุนัขที่สามารถเรียนรู้และแสดงออกได้คล้ายสุนัข

The Power of Adorableness! Sony Japan's Robot Dog "aibo" will Heal Your  Heart!

ค.ศ.2002 Roomba

หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่ตัดสินใจเลือกเส้นทางการเคลื่อนที่ในการทำความสะอาดบ้าน

iRobot Roomba 675 Review | PCMag

การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learing)

เป็นการทำให้เครื่องจักเรียนรู้ด้วยการคำนวณแบบหลายชั้น โดยเลียนแบบการทำงานของระบบเซลล์ประสาทในสมองมนุษย์ เช่น โครงข่ายประสาทเทียม (artificialneural network) ที่มีชั้นการคำนวณหลายชั้น

ค.ศ.2010 Siri

siri ผู้ช่วยอัจฉริยะในการทำงานหลาย ๆ ด้านSiri - Apple (TH)

ค.ศ.2014 EUGENE

แชตบอตที่ผู้พิพากษา จำนวน 1 ใน 3 เชื้อว่าเป็นมนุษย์Computer chatbot 'Eugene Goostman' passes the Turing test | ZDNet

ค.ศ.2017 AlphaGo

ปัญญาประดิษฐ์ที่เล่นหมากล้อมชนะแชมป์โลกชัยชนะเป็นของเทคโนโลยี AlphaGo ชนะ Lee Sedol 3 กระดานรวด – ThaiRobotics

แนวคิดด้านปัญญาประดิษฐ์

ทุกวันนี้การใช้ชีวิตของมนุษย์มีความเกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ในหลาย ๆ ด้าน และมีแนวโน้มที่มนุษย์จะใช้ปัญญาประดิษฐ์ช่วยทั้งในด้านการทำงาน และอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันของตนเอง ดังนั้นการเรียนรู้แนวคิดของปัญญาประดิษฐ์จึงมีความสำคัญ เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในแนวคิดของปัญญาประดิษฐ์ องค์กรที่ชื่อว่า AI for K-12 (www.AI4K 1 2.org) ได้นำเสนอแนวคิดการจัดการเรียนรู้ปัญญาประดิษฐ์ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า แนวคิดสำคัญ 5 ประการสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (Five Big Ideas in AI) ในงานประชุมวิชาการของสมาคมครูด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science Teachers Association: CSTA) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปีพ.ศ. 2562 ไว้ดังนี้

1. การรับรู้ (Perception)

ความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินของคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้ประสบความสำเร็จ โดยปกติปัญญาประดิษฐ์จะรับรู้ด้วยการมองเห็นและการได้ยินผ่านอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์ เช่น กล้อง ไมโครโฟน หรืออุปกรณ์นำเข้าข้อมูลอื่น ๆ โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะรับข้อมูลลเข้าไปเพื่อประมวลผล นอกจากการรับรู้ผ่านทางเซนเซอร์แล้วปัญญาประดิษฐ์จะต้องเข้าใจสิ่งที่รับรู้ได้ด้วย เช่น เข้าใจความหมายของสิ่งที่เห็นหรือสิ่งที่ได้ยินด้วย

2. การแทนความรู้และการให้เหตุผล (Representation and reasoning)

ปัญญาประดิษฐ์จะต้องสามารรถเก็บองค์ความรู้ในรูปแบบของตัวแทนความรู้ (Knowledge representation) เช่น กฎการตัดสินใจที่สร้างมาจากองค์ความรู้ของผู้เชี่ยวชาญและใช้ตัวแทนความรู้นี้ในการให้เหตุผลโดยการอนุมาน (inference) ซึ่งเป็นกระบวนการหาข้อสรุปจากองค์ความรู้ที่มีอยู่

ตัวอย่าง การข้ามถนนทางม้าลาย

กฎ 1 ถ้าสัญญาณไฟคนข้ามเป็นสีเขียวและการข้ามถนนปลอดภัยแล้วให้เดินข้ามถนน

กฎ 2 ถ้าสัญญาณไฟคนข้ามเป็นสีเขียวและการข้ามถนนไม่ปลิดภัยแล้วให้หยุดรอ

กฎ 3 ถ้าสัญญาณไฟคนข้ามเป็นสีแดงแล้วให้หยุดรอ

กฎ 4 ถ้ามีรถกำลังวิ่งผ่านทางม้าลายการข้ามถนนไม่ปลอดภัย

กฎ 5 ถ้าไม่มีรถกำลังวิ่งผ่านทางม้าลายแล้วการข้ามถนนปลอดภัย

สมมติว่าตอนนี้สัญญาณไฟคนข้ามถนนเป็นสีเขียวและมีรถกำลังวิ่งผ่านทางม้าลายคุณจะใช้กฎข้อใดบ้างในการอนุมานเพื่อหาข้อสรุปในการเลือกการกระทำที่ถูกต้อง

3. การเรียนรู้ (Learning)

ปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้อัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) จะเรียนรู้จากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ที่นำเข้าโดยมนุษย์หรือเครื่องจักร (machine) ที่สามารถสร้างข้อมูลฝึกสอนเองได้ ตัวอย่าง แอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่องจากข้อมูลฝึกสอน ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลนำเข้าและข้อมูลส่งออก

ตารางตัวอย่างแอปพลิเคชันปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่อง

ข้อมูลนำเข้า

ข้อมูลส่งออก

แอปพลิเคชัน

อีเมล์

สแปม หรือไม่ใช้สแปม

ตัวกรองสแปม

เสียง

ข้อความ

การรู้จำเสียง

ประโยคภาษาอังกฤษ

ประโยคภาษาไทย

เครื่องแปลภาษา

ภาพจากกล้อง สัญญาณจากเรดาร์

การกระทำ เช่น เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เพิ่มความเร็ว ลดความเร็ว หรือหยุด

รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ

ภาพของสิ่งของ

สภาพความเสียหาย

การตรวจสอบด้วยภาพ (visual inspection)

4. การปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติ

นักพัฒนาปัญญาประดิษฐ์พยายามสร้างปัญญาประดิษฐ์ให้สามารถปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยปัญญาประดิษฐ์จะต้องเข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ก่อน เช่น การพูดคุยกันระหว่างมนุษย์ จึงจะทำให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถเลียนแบบมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

5. ผลกระทบทางสังคม

ปัญญาประดิษฐ์นั้นอาจจะเป็นประโยชน์หรือเป็นอัตรายต่อสังคมก็ได้ขึ้นอยู่กับการนำไปใช้งาน การใช้งานปัญญาประดิษฐ์จะร้องคำนึงถึงจริยธรรม ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวเนื่องจากปัญญาประดิษฐ์สามารถตัดสินใจหรือกระทำสิ่งที่อาจจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ได้ ดังนั้นจะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมให้ปัญญาประดิษฐ์ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

นวัตกรรมที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์

การแปลเสียงพูดให้เป็นข้อความ

การแปลงเสียงพูดให้เป็นข้อความ (Speech to text) ถูกนำมาใช้ในการนำข้อมูลเข้าด้วยเสียงพูดแทนการพิมพ์ข้อความด้วยคีย์บอร์ด นวัตกรรมนี้ใช้ระบบรู้จำเสียงพูด (speech recognition system) ที่เรียนรู้การแปลงเสียงพูดให้เป็นข้อความจากข้อมูลนำเข้า คือ คลิปการพูด (speech) และข้อมูลส่งออก คือ ข้อความ ที่ถอดมาจากคลิปเสียงนั้น ซึ่งหลายคนอาจเคยใช้ระบบรู้จำเสียงพูดที่มากับแอปพลิเคชันของสมาร์ตโฟน เช่น Voic Typing

เครื่องแปลภาษา (machine translation)

เครื่องแปลภาษา (machine translation) เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับแปลภาษาของมนุษย์จากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง เช่น แปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย โดยระบบจะเรียนรู้การแปลภาษาจากข้อมูลจำนวนมากจนกระทั่งสามารถแปลภาษาได้อย่างถูกต้อง เช่น Google translate Google Translate ปรับปรุงการแปลภาษาให้ดีขึ้นด้วยระบบ AI  แปลทั้งประโยคได้ดีขึ้น พร้อมใช้งานแบบออฟไลน์ | DroidSans

การระบุตัวตนด้วยใบหน้า (facial identification)

การระบุตัวตนด้วยใบหน้า เป็นการระบุว่าภาพใบหน้าที่พิจารณาเป็นของบุคคลใด โดยใช้ระบบรู้จำใบหน้า (facial recognition system) ระบบรู้จำใบหน้าเป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ภาพใบหน้าของบุคคลแล้วบอกว่าภาพใบหน้านั้นเป็นของบุคคลใดโดยผ่านการเรียนรู้ข้อมูลภาพใบหน้าจำนวนมาก จนสามารถระบุภาพใบหน้าจำนวนมาก จนสามารถระบุภาพใบหน้าของบุคคลได้อย่างแม่นยำ เช่น การปลดล็อกด้วยใบหน้าของสมาร์ตโฟน การเปรียบเทียบใบหน้าผู้ต้องสงสัยกับภาพจากกล้องวงจรปิด การแท็ก ชื่อคนจากใบหน้าที่อยู่ในภาพ

รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (self-driving car)

 ความก้าวหน้าของวิทยาการเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ทำให้ปัจจุบันการดำเนินชีวิตของมนุษย์มีความสะดวกสบาย  มีเทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์มีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น และมีความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างนวัตกรรมรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ     (Self-Driving Car) รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติหรือในอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่ารถยนต์ไร้คนขับ นับเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ บริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น Google, Apple, Uber และ Baidu เข้ามามีบทบาทในการพัฒนา  คุณลักษณะและเทคโนโลยีของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัตินี้มีการบูรณการเทคโนโลยี 4 อย่างเข้าด้วยกัน ได้แก่

  1. Computer Vision เป็นเสมือนตาของรถที่ทำให้รถยนต์นั้นรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ได้แก่ กล้องถ่ายภาพ การใช้คลื่นเสียงเพื่อตรวจจับวัตถุรอบ ๆ ในลักษณะเดียวกับเรดาร์ และการใช้เลเซอร์
  2. Deep Learning เป็นสมองของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดย Deep Learning ทำหน้าที่วิเคราะห์สภาพในท้องถนน เช่น การตรวจจับว่ารถขับตรงเลนหรือไม่ การตรวจจับผู้ใช้ทางเท้า การระบุป้ายจราจรและสัญญาณไฟจราจร ความเหมาะสมในการเร่งเครื่องหรือเบรก เป็นส่วนที่เป็นพื้นฐานของการตัดสินใจของรถ
  3. Robotic เป็นส่วนที่แปลงจากคำสั่งที่ประมวลผล ให้กลายเป็นคำสั่งที่ใช้กับเครื่องยนต์และส่วนต่าง ๆ ของรถได้จริง
  4. Navigation เป็นเทคโนโลยีการนำทาง การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมจากข้อมูลแผนที่ การประมวลผล และการตัดสินใจเส้นทางการขับเคลื่อนของรถยนต์

9108 1

ภาพที่ 1 รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ

ที่มา http://fortune.com/2017/10/09/lebron-james-self-driving-car

มาตรฐานที่ถูกกำหนดขึ้นโดย National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ของสหรัฐอเมริกาได้ระบุระดับของรถยนต์ไร้คนขับโดยแบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้

Level 0 เป็นรถยนต์ที่มนุษย์ต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง

Level 1 (Driver Assistance) รถยนต์ที่ยังถูกควบคุมโดยมนุษย์ แต่มีบางฟังก์ชันที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่นการยังคับทิศทาง หรือการเร่งเครื่อง มีกระบวนการทำงานบางอย่างมาช่วยเหลือคนขับ โดยคนขับยังคงมีหน้าที่บังคับทิศทาง ดูสภาพแวดล้อมต่างๆ รอบข้างและตัดสินใจแต่ระบบควบคุมความเร็วทำงานอัตโนมัติและสามารถแนะนำทิศทางและเส้นทางที่เหมาะสมให้คนขับได้

Level 2 (Occasional Self-Driving) การบังคับทิศทางหรือการเร่งเครื่องอย่างใดอย่างหนึ่งถูกทำโดยระบบอัตโนมัติซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้ทั้งแขนและขาพร้อมกัน เช่น ระบบ cruise control ระบบสามารถควบคุมทิศทางและความเร็วได้อย่างอัตโนมัติ แต่คนขับยังมีหน้าที่คอยดูแลอยู่บ้าง เช่น ช่วยดูถนนและสภาพแวดล้อมรอบข้าง

Level 3 (Limited Self-Driving) รถยนต์ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติแต่ต้องมีผู้ขับขี่คอยเฝ้าระวังและแทรกแซงในกรณีที่ฉุกเฉินหรือต้องการความปลอดภัยสูง ในระดับนี้คนขับสามารถละความสนใจจากการควบคุมต่าง ๆ ได้ ระบบสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติทั้งหมด แต่จะยังมีการแจ้งมายังคนขับในบางครั้ง เพื่อขอให้เข้าควบคุมระบบการทำงาน กรณีที่ระบบประเมินแล้วว่าจะไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อม ณ ช่วงเวลานั้นได้

Level 4 (Full Self-Driving Under Certain Conditions) รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบเต็มตัว แต่สามารถขับเคลื่อนในสภาวะที่มันถูกออกแบบมาเท่านั้น ระดับนี้เป็นการควบคุมการทำงานของระบบได้อย่างอัตโนมัติทั้งหมด คนขับไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรอีก แต่มีข้อแม้ว่ารถต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แน่นอน มีการควบคุมในระดับหนึ่ง สามารถคาดการณ์ได้ จึงยังเป็นต้องมีคนขับอยู่เพื่อเข้าควบคุมการทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นครั้งคราวได้

Level 5 (Full Self-Driving Under All Conditions) รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติซึ่งมีความสามารถในการขับขี่เทียบเท่ามนุษย์ เป็นระดับที่เป็นยานยนต์อัตโนมัติโดยสมบูรณ์ สามารถทำงานได้เทียบเท่ามนุษย์ ในทุกสถานการณ์และทุกสภาพแวดล้อม สามารถจัดการควบคุมและตัดสินใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ในระดับนี้จึงไม่จำเป็นต้องมีคนขับอีกต่อไป

โดยรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติใช้พลังงานไฟฟ้าจากข้อมูลในเอกสารที่ IEEE Spectrum ยื่นต่อ FCC (Federal Communications Commission คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นถึงการดำเนินการติดตั้งระบบชาร์จไร้สาย (Wirelessly Charge) เพื่อใช้ในการชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับรถยนต์ โดยมีการร่วมมือกับ Hevo Power ผู้พัฒนาจุดชาร์จพลังงานรถยนต์ไฟฟ้าแบบไร้สายผ่านท่อน้ำระบายน้ำ โดยเทคโนโลยีของ Hevo Power ใช้การออกแบบอุปกรณ์ที่มีความกลมกลืนไปกับฝาท่อระบายน้ำ เมื่อรถยนต์ขับมาจอดให้ตรงจุดชาร์จพลังงานจากนั้นจะเกิดการเติมพลังงานในแบบเหนี่ยวนำไร้สายขึ้น โดยจะสามารถส่งผ่านพลังงานไปยังรถยนต์ได้ตั้งแต่ 220 โวลต์ ถึง 10 กิโลวัตต์การชาร์จพลังงานไฟฟ้าให้กับรถยนต์ไร้คนขับ อาจพิจารณารูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากการนำเทคโนโลยี Hevo Power มาใช้ เพื่อเป็นทางเลือกในการเติมพลังงานไฟฟ้าที่มากขึ้นในอนาคต

9108 2

ภาพที่ 2 จุดชาร์จพลังงานรถยนต์ไฟฟ้าแบบไร้สายผ่านท่อน้ำระบายน้ำ โดยเทคโนโลยีของ Hevo Power

ที่มา https://www.renewableenergymagazine.com/electric_hybrid_vehicles/despite-disappointing-gm-sales-numbers-the-push-20150511

รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะทำให้ท้องถนนจะมีความปลอดภัยมากขึ้น รถยนต์ที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่รับรู้และตอบสนองต่อสภาพภายนอกได้อย่างรวดเร็วนั้นย่อมจะช่วยให้การขับขี่มีความปลอดภัยมากขึ้น การจราจรบนท้องถนนและการใช้เชื้อเพลิงจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การลดอุบัติเหตุนอกจากจะลดความสูญเสียแล้วยังเป็นการกำจัดสาเหตุที่รถติดบนท้องถนน ลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทำให้โลกของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้นและนี่คือประโยชน์ของวิทยาการสมัยใหม่ที่แท้จริง

ตัวอย่างการสร้างกฎการตัดสินใจ